AES ย่อมาจากมาตรฐานการเข้ารหัสขั้นสูงและจะถือเป็นรุ่นมาตรฐานวิธีการเข้ารหัสลับต่อไประบบ AES ใช้ในซอฟแวร์เครื่องล็อคที่ปลอดภัยเช่นเดียวกับมาตรฐานการเข้ารหัสที่ใช้โดยรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบัฟฟาโลอุปกรณ์ที่มีทั้งแบบ 128 บิตหรือการเข้ารหัส 256 บิต ความจริงแล้ว มีชื่อว่า Rijndael แต่ที่เราเรียกกันว่า AES เพราะว่า มันเป็น การเข้ารหัสที่ชนะในการประกวดของ AES ซึ่งในการแข่งขันนั้นได้มี การเข้ารหัสแบบอื่นๆๆเข้ารอบมาพอสมควรเช่น MARS, RC6, Rijndael, Serpent, Twofish ซึ่งในจํานวนผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดนี้ Rijndael ไม่ได้เป็น การเข้ารหัสที่แข็งแกร่งที่สุด (แข็งแกร่งและปลอดภัยสุดคือ Serpent ที่พัฒนาโดย Ross Anderson, Eli Biham และ Lars Knudsen ซึ่งได้รางวัลเป็นที่ 2 ) แต่เป็นเพราะว่าโดยรวมแล้ว Rijindael มีความสามารถที่เป็นน่าใจมากกว่า (เช่น ความเร็ว)ส่วนการทํางานของ AES จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ๆๆคือ คือ AddRoundKey, SubBytes, ShiftRows และ MixColums โดยในรอบสุดท้ายจะใช้ AddRoundKey แทน MixColums นี่เป็นแค่คร่าวๆๆนะครับ AES ก็เป็น Block cipher อย่างนึง ที่มีขนาดของ key หลากหลายแบบแล้วแต่การเลือกใช้ ซึ่งปกติแล้วจะใช้ 128 bit แต่ว่าในบางองคกรณ์ที่ต้องการความปลอดภัยสูงมากๆๆ หรือ เป็นข้อมูลลับของรัฐบาล จะใช้คีย์ที่มีความยาวมากกว่านั้น เช่น 256 bit เป็นต้น
(DES) ได้รับการพัฒนาโดยทีมงาน IBM 1974 และรอบ ๆ นำมาเป็นมาตรฐานแห่งชาติในปี 1977 Triple DES เป็นรูปแบบที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของมาตรฐานนี้ มันเป็นครั้งที่สามช้ากว่าปกติ DES แต่สามารถพันล้านครั้งความปลอดภัยมากขึ้นถ้าใช้อย่างถูกต้อง Triple DES สนุกกับการใช้งานมากกว้างกว่า DES เพราะ DES จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำลายด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ในปี 1998 มูลนิธิพรมแดนอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้คอมพิวเตอร์ที่พัฒนามาเป็นพิเศษเรียกว่า Cracker DES, การบริหารจัดการที่จะทำลาย DES ในเวลาน้อยกว่า 3 วัน และนี่คือทำตาม $ 250.000 ชิปเข้ารหัสที่ขับเคลื่อน Cracker DES คือความสามารถในการประมวลผล 88000000000 คีย์ต่อวินาที นอกจากนี้ยังได้รับการแสดงให้เห็นว่าสำหรับค่าใช้จ่ายของหนึ่งล้านดอลลาร์อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เฉพาะสามารถสร้างขึ้นที่สามารถค้นหาคีย์ DES เป็นไปได้ทั้งหมดในเวลาประมาณ 3.5 ชั่วโมง นี้เป็นเพียงแค่ทำหน้าที่เพื่อแสดงให้เห็นถึงว่าองค์กรที่มีทรัพยากรปานกลางใด ๆ ที่สามารถตัดผ่าน DES มีความพยายามน้อยมากวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไม่มีเหตุผลที่จะพิจารณาใช้ DES ในการปกป้องข้อมูล
